LINE ประเทศไทย เดินหน้ายกระดับศักยภาพนักพัฒนาไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดงาน LINE THAILAND DEVELOPER CONFERENCE 2025 ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยผู้ร่วมงานเกินพันคน เปิดไฮไลท์การใช้ AI และเครื่องมือใหม่ LINE MINI App เสริมพลังการพัฒนาเพื่อสร้างประสบการณ์ยุคใหม่ภายใต้แนวคิด ‘Engineering Next-Gen Experiences’ ต้อนรับผู้ร่วมงานจากภาคธุรกิจและเยาวชนจากสถาบันการศึกษาไทย เข้าร่วมฟังไอเดียความรู้ เทคนิค Use Case รวมถึงเวิร์คช้อปเชิงลึก เพื่อนำไปต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรม ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยสู่อนาคต
ปัจจุบัน นักพัฒนาไทยถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล สถิติจาก GitHub ชี้ว่าประเทศไทยยังมีนักพัฒนาต่อประชากรน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก แม้มีจำนวนน้อยแต่มีศักยภาพสูง สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ด้วยอัตราส่วนจำนวนแอปฯ ที่ถูกพัฒนาต่อหนึ่งนักพัฒนาในจำนวนที่ใกล้เคียงกับประเทศที่มีระบบนิเวศน์ซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง การสนับสนุนให้เกิดการยกระดับศักยภาพของนักพัฒนาไทยจึงไม่เพียงเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางซอฟต์แวร์ของภูมิภาคในอนาคต
นายวีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer) กล่าวว่า ด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปี LINE ประเทศไทย เติบโตจากทีมวิศวกรซอฟต์แวร์เพียง 15 คนในปี 2019 สู่ทีมนักพัฒนาที่แข็งแกร่งกว่า 100 คนในปัจจุบัน พร้อมพาร์ทเนอร์สำคัญอย่างกลุ่ม LINE API Expert ที่แข็งแกร่ง ทำให้เราพร้อมขับเคลื่อนการเติบโตของชุมชนนักพัฒนาไทย โดยเฉพาะ LINE Developer Thailand Community ที่มีสมาชิกรวมกว่า 53,000 คน จนเป็นชุมชนนักพัฒนา LINE ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

การจัดงาน LINE THAILAND DEVELOPER CONFERENCE 2025 ปีนี้ LINE ได้วางจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของนักพัฒนาไทยจากวันนี้สู่อนาคต โดยขับเคลื่อนผ่าน Open Platform ของ LINE ที่วางยุทธศาสตร์ครอบคลุม 4 เสาหลักสำคัญ ได้แก่ People ที่เน้นการเติบโตของชุมชนและส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรในการให้ความรู้ เสริมศักยภาพนักพัฒนาไทย Technology ที่เน้นการขยาย Ecosystem ให้เสถียรและแข็งแรง Process ที่มุ่งสร้างเครื่องมือให้การพัฒนาง่ายขึ้น และ Product ที่มุ่งส่งมอบนวัตกรรมผ่าน อาทิ LINE MINI App, Bot Marketplace และเครื่องมือชำระเงินในแอปอย่างไร้รอยต่อ โดยมองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น ‘Career Accelerator’ ที่จะเปลี่ยนวิธีทำงานของนักพัฒนาไทย ช่วยให้นักพัฒนาสามารถแปลงไอเดียสู่ผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วขึ้น มีคุณภาพสูงขึ้น และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ใช้ในวงกว้าง

สำหรับไฮไลท์ของงานในปีนี้ LINE มุ่งเน้นความรู้และเทคนิคในการเขียนโปรแกรมให้กับนักพัฒนาไทย ด้วยหลากหลายเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้การสร้างสรรค์บริการ นวัตกรรมเป็นเรื่องง่ายขึ้น เร็วขึ้น และคุ้มค่ามากขึ้น ทั้งการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ของ LINE API ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาได้ โซลูชันใหม่อย่าง LINE MINI App ที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างบริการบน LINE ได้สะดวก ครอบคลุมและคุ้มค่า และการผสาน AI เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ LINE API พัฒนาง่าย เร็วขึ้น ต่อยอดธุรกิจได้จริง

ในปีนี้ LINE มีฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการพัฒนาและเชื่อมต่อกับ AI ได้ง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาไทย ด้วยเครื่องมือใหม่อย่าง LINE Bot MCP Server ตัวช่วยเชื่อม AI Agent เข้ากับ Messaging API โดยไม่ต้องเขียนโค้ด เพียงสั่งงานด้วย Prompt ก็สามารถสร้าง Flex Message หรือ Broadcast ข้อความได้ Coupon API สำหรับออกคูปองดิจิทัลผ่าน LINE เพิ่มการซื้อซ้ำ ฟังก์ชัน Simulate LIFF Switching ช่วยให้สามารถสลับใช้งาน LIFF หลายตัวพร้อมกัน รวมถึงการอัปเกรด LIFF CLI เพื่อการพัฒนาที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ LINE MINI App โซลูชันช่วยสร้างบริการแบบ App-in-App ภายใน LINE ได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปฯ แยก ปัจจุบันแบรนด์ชั้นนำทั้ง FINNOMENA, TQM, MedCare และ Dusit Central Park ได้นำไปใช้งานจริง โดยภายในงานมีการสาธิตการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับ LINE MINI App ในหลากหลายด้าน เพื่อย่นระยะการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบริการ
เทรนด์นักพัฒนายุคใหม่ ผสานเทคโนโลยี AI และ LINE MINI App

ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี AI ผสาน LINE MINI App เพื่อสร้างบริการยุคใหม่ได้อย่างโดดเด่นคือ TicketO โซลูชันผู้ช่วยจัดการอีเวนต์ที่ใช้ LINE MINI App มาเป็นศูนย์กลางบริหารจัดการแบบครบวงจร ผสาน AI ช่วยตรวจสอบ คัดกรอง เสริมไอเดียการสื่อสารและสรุปอินไซต์ ตั้งแต่ช่วงก่อนงาน นักพัฒนาสามารถใช้ AI อย่าง Input Guardrail มาช่วยตรวจรูปแบบไฟล์และคอนเทนต์ และใช้ Output Guardrail ตรวจความถูกต้องเหมาะสมก่อนส่งรายละเอียดงานให้ผู้ใช้ และใช้ฟีเจอร์ Service Messages ของ LINE MINI App เพื่อยืนยันออกตั๋วให้ ในวันงาน ผู้เข้าร่วมงานสามารถเช็กอินโดยสแกน QR code หรือผ่าน LINE Beacon ที่จับสัญญาณเพื่อเช็กอินให้อัตโนมัติ โดยผู้จัดงานสามารถสร้างกิจกรรมอย่าง Quiz/Lucky Draw/ภารกิจตามบูท บน LINE MINI App ได้พร้อมอินไซต์แบบเรียลไทม์ ตบท้ายด้วยเมื่องานจบ ผู้จัดงานสามารถสร้างแบบสอบถาม แล้วใช้ AI มาช่วยสรุปผลฟีดแบคและพฤติกรรมผู้เข้าร่วมงาน เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงงานครั้งต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างน่าสนใจในการใช้ LINE MINI App และ AI รวมถึง LINE Beacon พลิกโฉมวงการค้าปลีกไทย คือ AIYA หนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Location AI Marketing นำเสนอไอเดียการใช้แบนเนอร์จาก LINE Beacon สร้างการรับรู้แคมเปญหรือดีลเด็ดให้ผู้ใช้ในรัศมีใกล้เคียงร้านค้า เพื่อดึงเข้าสู่ LINE MINI App ได้ แบรนด์สามารถนำข้อมูลที่ได้จาก LINE Beacon และ LINE MINI App รวมถึงฐานข้อมูล CRM ที่แบรนด์มี มาให้ AI ช่วยวิเคราะห์เป็นอินไซต์ เพื่อออกแบบคูปองส่วนลด ดีล Flash Sale หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคลกลับไปได้ทันทีอย่าง “ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา” หลังจากลูกค้าเข้ามาใช้สิทธิ์หน้าร้าน แบรนด์ยังสามารถใช้ AI มาช่วยออกแบบโมเดลแนะนำข้อเสนอถัดไป ตามข้อมูลโซนที่เข้าใกล้ วันเวลาและประวัติการใช้สิทธิ์ได้เช่นกัน อีกหนึ่งไอเดียสำหรับธุรกิจเชื่อมโลกออนไลน์กับออฟไลน์ให้ Seamless ใช้ Ads เปลี่ยนเป็นยอดขายได้จริง วัดผลได้ และปรับข้อเสนอตาม Location ได้แบบเรียลไทม์
และเพื่อให้การพัฒนา LINE MINI App ง่ายขึ้น คุณธนรัฐ เรืองรัตน์ เจ้าของตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 จากเวที LINE HACK 2023 ยังได้แนะนำ MINI AI Studio เครื่องมือในการสร้าง LINE MINI App อย่างง่ายจากคำสั่งสั้นๆ โดยแทบไม่ต้องเขียนโค้ดเอง พร้อมเบื้องหลังการสร้างด้วยพลัง AI มาช่วยทั้งในเชิงการ ‘Build’ ให้ AI ทำหน้าที่เป็น Multi-Agent ช่วยด้านการวิเคราะห์ Prompt แจกจ่ายงาน ด้าน Logic ด้านการสร้างหน้า LIFF ที่ช่วย Coding ให้ ไปจนถึงการตรวจงาน และในเชิงการ ‘Ship’ หรือส่งมอบชิ้นงานขึ้น Test และ Production ให้โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ นักพัฒนาควรต้องระบุ Spec เตรียม Data แหล่งข้อมูล และเขียน Prompt ระบุความต้องการใน MINI AI Studio ให้ชัดเจน
ใช้ AI เสริมพลัง LINE API ยกระดับ Group Bot ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่

Messaging API ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างบริการบน LINE ภายในงาน Zwiz.AI โชว์ศักยภาพการผสาน AI เพื่อพัฒนา Group Bot ให้ทำงานได้ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยแคมเปญ “น้องซี N’Zee” แชทบอทในไลน์กลุ่มขององค์กร ที่เริ่มต้นจาก HR Bot ช่วยบันทึกการลาและตอบคำถามทั่วไป เช่น รหัส Wi-Fi เบอร์ออฟฟิศ บันทึกการขาย ไปจนถึงช่วยจองห้องประชุม ก่อนจะต่อยอดด้วย AI และ LLM เพื่อรองรับงานหรือตอบคำถามที่ซับซ้อนขึ้นได้ ด้วยข้อมูลที่นอกเหนือจากภายในองค์กร เช่น คิดไอเดียโปรโมชัน สรุปข้อมูล เป็นต้น
จุดเด่นของ Group Bot คือการจัดการข้อมูลในกลุ่มที่มีสมาชิกจำนวนมากอย่างเป็นระบบ ช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร และเมื่อเชื่อมกับ AI ก็สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับงานที่ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนี้ นักพัฒนาควรออกแบบการใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น แยกโมดูลบอทตามหน้าที่ และจำกัดขอบเขตให้ทำงานเฉพาะในกลุ่มเพื่อความปลอดภัย
เชื่อม AI เข้าข้อมูลธุรกิจ ปลดล็อกงานอัตโนมัติด้วย MCP Server

ในยุคที่ธุรกิจเริ่มใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการทำงานมากขึ้น ความท้าทายสำคัญคือ AI ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจได้โดยตรง เช่น สต็อกสินค้า ออเดอร์ ยอดขาย จึงเป็นที่มาของ “Model Context Protocol” (MCP) ซึ่งเปรียบเสมือน “สาย USB-C ของ AI” ช่วยเชื่อม AI เข้ากับข้อมูลบนแพลตฟอร์มหรือระบบเฉพาะได้ทันที ภายในงาน นักพัฒนา LINE ประเทศไทย ได้สาธิตการใช้ฟีเจอร์ ‘Function Calling’ ของ LLM เรียกข้อมูลจาก LINE SHOPPING API ผ่าน MCP Server ทำให้ AI ช่วยตรวจสอบสต๊อกสินค้า วิเคราะห์ยอดขาย หรือสร้าง Flex Message และส่งข้อความถึงผู้ติดตาม LINE OA อัตโนมัติได้ โดยแทบไม่ต้องเขียนโค้ดเอง
สำหรับธุรกิจที่ต้องการให้ AI เข้ามาจัดการทำงานบน LINE OA แทน สามารถใช้ LINE Bot MCP Server เครื่องมือใหม่ล่าสุดจาก LINE สำหรับนักพัฒนาไทย มาเป็นกุญแจปลดล็อก เชื่อม AI Agent เช่น Claude, Gemini, Cursor เข้ากับ LINE Messaging API เพื่อช่วยดึงข้อมูลและทำแอคชั่นต่างๆ บน LINE OA ให้โดยอัตโนมัติได้ ตั้งแต่งานพื้นฐาน เช่น ตรวจสอบโควตาข้อความ ส่งข้อความ Broadcast อัปเดต Rich Menu ให้ ไปจนถึงคำสั่งซับซ้อนขึ้น เช่น ตรวจสอบโควตาข้อความก่อนสร้างงาน หรือให้ส่งชิ้นงานมารีวิวก่อนส่ง เป็นต้น โดยภายในงาน ผู้เชี่ยวชาญ LINE API Expert ยังได้โชว์ไอเดียต่อยอดการใช้ LINE Bot MCP Server เชื่อมเครื่องมือ AI สร้าง Campaign Manager Agent ที่ธุรกิจสามารถ “คุยสั่ง” AI สร้างแคมเปญบน LINE OA ให้ครบจบในที่เดียวได้เช่นกัน
Best Practices ใช้ AI ยกระดับการพัฒนา

AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ฟีเจอร์เสริม” ให้โซลูชันของ LINE ทรงพลังขึ้นเท่านั้น แต่กลายเป็น เพื่อนร่วมทีม คนสำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น และมีประสิทธิภาพขึ้น โดยเฉพาะยุค LLM การออกคำสั่งหรือ Prompt LLM ให้มีประสิทธิภาพ นักพัฒนาควรต้องเข้าใจใน Context Engineering เพื่อสั่งงานด้วย Spec ที่ชัดเจน AI เข้าใจแล้วเสกงานให้ตรงเป้า ซึ่งประกอบด้วย (1) System Prompt ระบุตัวตน AI และบทบาทอย่างชัดเจน โดยใช้ copilot-instuctions.md มาทำหน้าที่เป็นคู่มือ Onboarding ให้ AI ได้ (2) Available Tools เลือกเครื่องมือให้ AI ใช้เป็นตัวช่วยในการทำงาน อาทิ Gohan CLI หนึ่งใน Available Tools ที่ทีมนักพัฒนา LINE ประเทศไทย พัฒนาขึ้นเองสำหรับเป็นเครื่องมือภายใน เพื่อสร้าง Microservices บน LINE OA Plus ได้ง่าย รวดเร็ว ภายใต้กรอบเดียวกัน (3) User Prompt คำสั่งเฉพาะงานที่ควรระบุความต้องการและเงื่อนไขงานให้ละเอียด ผลลัพธ์คือกระบวนการพัฒนาที่เร็วขึ้น ลดความซับซ้อนลงได้ เหมือนมีเพื่อนร่วมทีมใหม่ที่ทำงานให้ตลอด 24 ชม.
อีกหนึ่งเครื่องมือภายในองค์กร LINE ประเทศไทย ที่นักพัฒนาสร้างขึ้นเองด้วย AI คือ Scouter เครื่องมือ Chrome Extension ช่วยวัดผล Web Performance บนบริการที่สร้างผ่าน LINE OA Plus ผสาน LIFF app แก้ pain point การสรุปประเด็นวัดผลได้ยากผ่านเครื่องมือเดิมอย่าง Chrome Network Tab โดยทีมนักพัฒนา LINE ประเทศไทย ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวันในการสร้าง Scouter ผ่าน AI โดยใช้ GitHub Copilot อย่าง NES (Next edit suggestion) มาช่วยปรับแต่งโค้ดให้ ทำให้ Scouter สามารถแสดงข้อมูลวัดผลในประเด็นที่ต้องการได้กระชับ รวดเร็วทันใจ พร้อมฟังก์ชันเสริม เช่น Export ไฟล์วัดผลนำไปประกอบรายงานได้ทันที ย่นระยะเวลาให้ทีมโฟกัสในการสร้าง Productivity ได้มากขึ้น
สำหรับนักพัฒนาสาย SRE ที่เน้นความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของระบบ มักจะพบกับปัญหา Technical Debt หรือ ‘หนี้ทางเทคนิค’ มากมาย ทีมนักพัฒนา LINE ประเทศไทย จึงนำหลัก GitOps มาใช้ โดยเก็บ Config ทั้งหมดไว้ใน Git ด้วย YAML พร้อมตั้งชื่อเวอร์ชันด้วยปีและสัปดาห์ที่แก้ไข เพื่อให้ทุกการเปลี่ยนแปลงมีประวัติชัดเจน ติดตามอายุของ Config ได้ง่าย ในส่วนงาน Ops หรือ Operation มีการใช้ CI ตรวจทาน YAML ประกอบ Config ให้ และสร้าง ArgoCD อีกหนึ่งเครื่องมือที่สร้างเองภายใน เป็น heavy-duty GitOps Agent เพื่อทดสอบระบบให้โดยอัตโนมัติและคาดการณ์ปัญหาให้ก่อนใช้งานจริง ในขณะที่ปัญหาความซับซ้อนของ YAML ทีมได้มีการใช้ YAML Language Server และ Syntax Highlight บน VS Code/NeoVim มาช่วยตรวจสอบโค้ด Error เพื่อลดข้อผิดพลาดได้ และใช้ AI ช่วยแนะนำโค้ดให้โดยอัตโนมัติ ก่อนรีวิวโดยนักพัฒนาในขั้นตอนสุดท้ายเสมอ เพื่อให้กระบวนการทำงานเป็นระเบียบและปลอดภัย ไม่เพียงประหยัดเวลา แต่ยังยกระดับคุณภาพการพัฒนาให้เสถียรกว่าเดิม
อีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างสีสันในงานปีนี้คือ กิจกรรม Hackathon ที่เปิดเวทีให้นักพัฒนารุ่นใหม่ รวมถึงเยาวชน นักศึกษาได้แสดงศักยภาพด้านการพัฒนาผ่านโจทย์ “ออกแบบ LINE MINI App อวยพรวันปีใหม่” ภายใน 2 ชม. ผลงานที่คว้ารางวัลชนะเลิศคือ ทีมหมูเดฟ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้สร้างสรรค์การ์ดปีใหม่ผ่าน LINE MINI App ได้อย่างน่าสนใจ โดยให้ผู้ใช้เลือกอีโมจิแทนความรู้สึก แล้วใช้ AI ช่วยแปลงอีโมจิเป็นข้อความอวยพรที่อบอุ่นมีความหมาย ส่งต่อให้คนที่รักได้เพียงไม่กี่คลิก ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างไอเดียการผสาน AI เข้ากับ LINE MINI App สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์

การจัดงาน LINE Thailand Developer Conference 2025 ครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นเวทีอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ของ LINE แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโยงนักพัฒนา ภาคธุรกิจ และคนรุ่นใหม่ ให้ร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัลของไทย ภายใต้แนวคิด “Engineering Next-Gen Experiences” ที่มอง AI เป็นตัวเร่งศักยภาพอาชีพและเครื่องมือสร้างสรรค์บริการแห่งอนาคต งานในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า LINE ไม่ได้เพียงมอบเครื่องมือ แต่กำลังสร้างระบบนิเวศที่เปิดกว้างให้นักพัฒนาไทย สามารถเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นโซลูชันจริง สร้างคุณค่าแก่ผู้ใช้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยสู่อนาคต นักพัฒนาผู้สนใจในเทคโนโลยีบนแพลตฟอร์ม LINE สามารถติดตามได้ที่ LINE: @linedevth เฟซบุ๊กเพจ LINE Developers Thailand และเฟซบุ๊กกรุ๊ป LINE Developers Group Thailand